
จัดการมรดก
การจัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599-1755) เป็นกระบวนการที่สำคัญในการถ่ายโอนทรัพย์สินจากผู้เสียชีวิตให้แก่ทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ โดยประมวลกฎหมายนี้ได้กำหนดขั้นตอนและข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อให้กระบวนการจัดการมรดกเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม
การจัดการมรดก
การจัดการมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญในการถ่ายโอนทรัพย์สินจากผู้ที่เสียชีวิตให้แก่ทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ การจัดการมรดกอย่างถูกต้องตามกฎหมายสามารถช่วยป้องกันข้อพิพาทและความไม่พอใจระหว่างทายาทได้
มรดกคืออะไร
มรดก คือทรัพย์สินหรือสิทธิที่ตกทอดมาให้แก่ทายาทหลังจากผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้เสียชีวิต ซึ่งมรดกนี้อาจประกอบด้วย:
ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์กับสังหาริมทรัพย์
เงินฝากธนาคาร เงินสด
หุ้นและหลักทรัพย์
สิทธิในสัญญาหรือทรัพย์สินทางปัญญา
- หนี้สิน
วิธีการจัดการมรดก
- ทำความเข้าใจกฎหมาย: ศึกษากฎหมายมรดกของไทยให้เข้าใจ เพื่อทราบสิทธิและหน้าที่ของทายาท รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ
- ประเมินทรัพย์สิน: ทำบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อให้ทราบมูลค่าและประเภทของทรัพย์สินที่ต้องการแบ่งให้ทายาท
- กำหนดผู้รับมรดก: เลือกผู้ที่คุณต้องการให้ได้รับมรดก และระบุสัดส่วนที่ต้องการให้
- จัดทำพินัยกรรม: พินัยกรรมเป็นเอกสารที่แสดงเจตนาของผู้ให้มรดกในการแบ่งทรัพย์สินให้แก่ทายาท การทำพินัยกรรมจะช่วยให้การแบ่งมรดกเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ให้มรดก
- เลือกผู้จัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกคือบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลและจัดการทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการเงิน จะช่วยให้การวางแผนการจัดการมรดกเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทตามกฎหมาย ได้แก่ทายาทโดยธรรม และทายาทโดยพินัยกรรม ทายาทโดยธรรมได้แก่ทายาท และคู่สมรส คือ ผู้ที่มีสายสัมพันธ์ทางสายโลหิต ซึ่งมี 6 ลำดับด้วยกันคือ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา
ประเภทของพินัยกรรม
- พินัยกรรมทั่วไป: เป็นพินัยกรรมที่ทำขึ้นโดยสมัครใจ และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกได้ตลอดเวลา
- พินัยกรรมฉุกเฉิน: เป็นพินัยกรรมที่ทำขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เมื่อเจ็บป่วยหนัก หรืออยู่ในสถานการณ์ที่อาจเสียชีวิตได้
- พินัยกรรมร่วม: เป็นพินัยกรรมที่คู่สมรสทำร่วมกัน
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการจัดทำพินัยกรรม
- ความชัดเจน: ภาษาที่ใช้ต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต
- ความสมบูรณ์: พินัยกรรมต้องมีรายละเอียดครบถ้วน เช่น ชื่อผู้ทำพินัยกรรม ชื่อผู้รับมรดก รายละเอียดทรัพย์สินที่แบ่งให้
- การลงนาม: ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงนามต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน
- การเก็บรักษา: พินัยกรรมควรเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย และแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบถึงสถานที่เก็บ
ขั้นตอนการจัดการมรดก
1. การพินัยกรรม
การจัดการมรดกเริ่มต้นด้วยการมีหรือไม่มี พินัยกรรม หากมีพินัยกรรม ผู้จัดการมรดกจะดำเนินการตามความประสงค์ที่ผู้ตายได้เขียนไว้ในพินัยกรรม หากไม่มีพินัยกรรม มรดกจะถูกจัดการตามกฎหมายที่กำหนดไว้
2. การยื่นคำร้องต่อศาล
เมื่อผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ทายาทหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถยื่นคำร้องต่อ ศาล เพื่อขอให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
3. การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ศาลจะพิจารณาและ แต่งตั้งผู้จัดการมรดก ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน จัดทำบัญชีทรัพย์สิน และจัดสรรทรัพย์สินให้แก่ทายาท
4. การจัดสรรทรัพย์สิน
ผู้จัดการมรดกจะดำเนินการ จัดสรรทรัพย์สิน ให้แก่ทายาทตามพินัยกรรมหรือกฎหมาย หากมีหนี้สินที่ต้องชำระ ผู้จัดการมรดกจะชำระหนี้สินก่อนที่จะแบ่งทรัพย์สิน
5. การปิดบัญชีมรดก
เมื่อทรัพย์สินถูกจัดสรรเสร็จสิ้น ผู้จัดการมรดกจะยื่น รายงานการจัดการมรดก ต่อศาลเพื่อขอปิดบัญชีมรดก
สิทธิและหน้าที่ของทายาท
สิทธิ: ทายาทมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินตามพินัยกรรมหรือกฎหมาย และสามารถขอให้ศาลตรวจสอบการจัดการมรดกได้หากสงสัยว่าไม่เป็นธรรม
หน้าที่: ทายาทมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามคำสั่งศาลและจัดการกับทรัพย์สินที่ได้รับมาอย่างถูกต้อง
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับมรดกและการจัดการมรดก
พระราชบัญญัติภาษีมรดก: กำหนดการชำระภาษีสำหรับทรัพย์สินที่เป็นมรดก
บทบาทของทนายความและที่ปรึกษาด้านการจัดการมรดก
ทนายความ และ ที่ปรึกษาด้านการจัดการมรดก มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือทายาทในการดำเนินการตามกฎหมาย พวกเขาสามารถช่วยลดความซับซ้อนและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาทได้
- หนี้สิน
ขั้นตอนการดำเนินคดี
กระบวนพิจารณาคดีในศาล จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก จึงต้องมีการกำหนดวิธีปฏิบัติตามวันนัดพิจารณาคดีแต่ละนัดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
1. ยื่น คำร้อง/คำคัดค้าน
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่กล่าวในฟ้องมีพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อได้ ผู้ร้องเรียกร้องอะไรผู้คัดค้านคัดค้านอะไร
2. นัดไกล่เกลี่ย
เมื่อเข้าห้องไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงกันได้ก็จะมีการถอนฟ้องหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หากตกลงกันไม่ได้ สำนวนคดีก็จะถูกส่งกลับมาที่ห้องพิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
3. นัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้อง ผู้คัดค้านนำพยานสืบพยาน
4. นัดฟังคำพิพากษา ศาลจะอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง ศาลจะวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งปวงในคดี ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายไหนมีเหตุผลน่าเชื่อกว่าก็ตัดสินให้ฝ่ายนั้นชนะ
ค่าบริการในการว่าความในศาลชั้นต้น
1. คดีแพ่ง
คดีไม่มีข้อพิพาทหรือคดีไม่มีทุนทรัพย์
เป็นคดีที่มีการร้องขอฝ่ายเดียว เพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย เช่น คดีร้องจัดการมรดก, คดีร้องขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ หรือบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น ค่าว่าความคิดขั้นต่ำคดีละ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)
หมายเหตุ กรณีมีการคัดค้านหรือมีการต่อสู้คดี ก็จะมีการตกลงกันอีกครั้ง
คดีมีข้อพิพาท หรือคดีมีทุนทรัพย์
กรณีที่ท่านเป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วม ท่านต้องชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีดังต่อไปนี้
คดีทุนทรัพย์ (บาท) | ค่าทนายความ (บาท) | ค่าวิชาชีพ(บาท) | ค่าบังคับคดี (ร้อยละ) |
ไม่เกิน 50,000 | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 30 |
50,001 ถึง 100,000 | 15,000 | 10,000 | 30 |
100,001 ถึง 300,000 | 30,000 | 12,000 | 30 |
300,001 ถึง 500,000 | 35,000 | 14,000 | 30 |
500,001 ถึง 800,000 | 40,000 | 15,000 | 20 |
800,001 ถึง 1,000,000 | 45,000 | 17,000 | 20 |
1,000,001 ถึง 2,000,000 | 50,000 | 18,000 | 10 |
2,000,001 ถึง 3,000,000 | 60,000 | 19,000 | 10 |
3,000,001 บาทขึ้นไป | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 10 |
เงื่อนไขการดำเนินงาน
1. ท่านต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม(ค่าขึ้นศาล)และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำส่งคำ คู่ความเองเป็นค่าธรรมเนียมตามปกติของศาล
(ตามใบเสร็จรับเงิน) ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
คดีมโนสาเร่ ทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 300,000 บาท เสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 1,000 บาท
คดีมีแพ่งสามัญ ทุน ทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท
ขึ้นไป เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 0.1 บาท
ค่านำหมาย,ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ (ถ้ามี),ค่าพาหนะของพยานหมาย (ถ้ามี)เป็นต้น
2. ท่านต้องชำระค่าทนายความตามทุนทรัพย์ก่อนที่จะทำคำฟ้องยื่นต่อศาล
3. ค่าบังคับคดี บริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อมีการบังคับคดี หากไม่มีการบังคับคดีท่านไม่ต้องจ่ายค่าบังคับคดี
4. ค่าว่าความ (อัตราร้อยละ) ทางบริษัทฯ คิดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง (ตามฟ้อง) และบริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อ
ท่านได้รับเงินจากลูกหนี้หรือจำเลยแล้ว(ตามเกณฑ์เงินสดที่ท่านได้รับ)
5. กรณีทนายความไปศาลต่างจังหวัด บริษัทฯ จะเรียกเก็บอัตราค่าเดินทางไปศาลในแต่ละครั้ง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 4,500 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 6,500 บาท
***สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ท่านไม่ต้องชำระค่าเดินทางในส่วนนี้
หมายเหตุ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าที่พัก,ค่าตั๋วรถเดินทาง,ค่าน้ำมันรถยนต์,ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ทางราชการ หรือเอกชน
ออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
6. คดีนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะตกลงกันตามความยากง่ายของการดำเนินคดี
7. การว่าจ้างมีการทำสัญญาว่าจ้างว่าความทุกครั้ง เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจในการจ้างทนายความ
กรณีที่ท่านเป็นจำเลยหรือจำเลยร่วมในคดีแพ่ง
ในคดีที่มีการร้องสอดหรือร้องคัดค้านให้เป็นคดีมีข้อพิพาท คิดค่าว่าความ จำนวน 15,000 บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
คดีที่ท่านถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง
ก.) คดีที่มีข้อพิพาทจากมูลละเมิด คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ข.) คดีที่มีข้อพิพาทจากนิติกรรมสัญญา คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ต่างจังหวัด ท่านต้องชำระค่าเดินทาง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 2,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,000 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 4,000 บาท
หมายเหตุ
กรณีพิจารณาคดีออนไลน์ไม่มีค่าพาหนะ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ทางราชการหรือเอกชนออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
หรือ ในราคาตกลงกัน แล้วแต่กรณี