
ยกฟ้องจำเลย
การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย เป็นหลักการใหญ่ที่ระบบยุติธรรมทั้งโลกนี้ใช้กัน คือหลักการที่เรียกว่า ‘หลักการพิสูจน์จนสิ้นความสงสัยตามสมควร’ (Beyond a Reasonable Doubt)
การยกประโยชน์แห่งความสงสัย
การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ของไทย ได้บัญญัติ ความว่า ” มาตรา ๒๒๗ ให้ ศาล ใช้ดุลพินิจ วินิจฉัย ชั่งน้ำหนัก พยานหลักฐาน ทั้งปวง อย่า พิพากษาลงโทษ จนกว่าจะแน่ใจว่า มีการกระทำผิดจริง และ จำเลย เป็นผู้กระทำ ความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลย ได้กระทำผิด หรือไม่ ให้ยกประโยชน์ แห่งความสงสัย
หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Presumption of Innocence)
หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย หรือที่รู้จักกันในภาษากฎหมายว่า “Presumption of Innocence” เป็นหลักการพื้นฐานในระบบกฎหมายอาญาที่ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดโดยสิ้นเชิง หลักการนี้มีความสำคัญมากในการประกันความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม
ความสำคัญของหลักการนี้
การคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา:
หลักการนี้ช่วยคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยไม่ถูกพิจารณาว่ามีความผิดตั้งแต่ต้น
ผู้ต้องหามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่มีความโปร่งใสและตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การป้องกันการตัดสินผิดพลาด:
การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยช่วยป้องกันการตัดสินผิดพลาดและการลงโทษผู้ที่อาจเป็นผู้บริสุทธิ์
หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิด ศาลจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยและพิพากษาให้พ้นผิด
การใช้หลักการนี้ในกระบวนการยุติธรรม
การพิจารณาคดี:
ในการพิจารณาคดีอาญา จำเลยจะถูกพิจารณาโดยศาลที่มีอำนาจในการตัดสิน ศาลจะพิจารณาหลักฐานและพยานที่เกี่ยวข้อง
อัยการมีหน้าที่นำเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดโดยปราศจากข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล
มาตรฐานการพิสูจน์ความผิด:
มาตรฐานการพิสูจน์ในคดีอาญาคือ “พิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัยอันสมเหตุสมผล” (Beyond a Reasonable Doubt)
หากหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิด ศาลจะต้องยกฟ้อง
ผลของการยกประโยชน์แห่งความสงสัย:
หากศาลมีความสงสัยที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับความผิดของจำเลย ศาลจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยและพิพากษาให้จำเลยพ้นผิด
หลักการนี้ช่วยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและลดการลงโทษผู้ที่อาจเป็นผู้บริสุทธิ์
บทบาทของทนายความ
ทนายความ มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิของจำเลยและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ทนายความจะช่วยในการเตรียมพยานหลักฐานและนำเสนอคดีในศาล เพื่อให้จำเลยได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมนั้น ให้แก่ จำเลย ” ‘ความยุติธรรม’ ในกระบวนการยุติธรรม ยึดถือ หลักการที่ว่า -การปล่อยคนผิดร้อยคน (เพราะหาหลักฐานยืนยันความผิดไม่ได้) ดีกว่าจับผู้บริสุทธิ์คนเดียวมาลงโทษ จะพิสูจน์อย่างไรว่าคนที่จะถูกลงโทษนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่?
### ขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา
การดำเนินคดีอาญามีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมายเพื่อให้การพิจารณาและตัดสินคดีมีความยุติธรรมและโปร่งใส โดยขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้
1. **การแจ้งความและการสืบสวน**:
– เมื่อเกิดการกระทำความผิด ผู้เสียหายหรือผู้พบเหตุการณ์สามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
– เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เช่น การสอบปากคำพยาน การเก็บหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุ
2. **การจับกุมและฝากขัง**:
– หากพบว่ามีมูลความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายจับและทำการจับกุมผู้ต้องหา
ผู้ต้องหามีสิทธิ
1. พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
2. ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน
3. ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร
4. ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
5. สิทธิจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
6. สิทธิพบและปรึกษาทนายเป็นการส่วนตัว ไม่ให้เจ้าหน้าที่สอบสวนฟังได้
7.ผู้ต้องหามีสิทธิขอประกันตัวในชั้นสอบสวน
– ผู้ต้องหาจะถูกนำตัวฝากขังในสถานที่ที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียว มีกำหนดไม่เกิน 7 วัน
2. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า6 เดือน แต่ไม่ถึง 10 ปี หรือปรับเกินกว่า 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วัน และรวมกัน ทั้งหมดต้องไม่เกิน 48 วัน
3. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 84 วัน
3. **การฟ้องร้องโดยพนักงานอัยการ**:
– เมื่อการสืบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งสำนวนการสืบสวนให้พนักงานอัยการ
– พนักงานอัยการจะพิจารณาหลักฐานและทำการฟ้องร้องผู้ต้องหาต่อศาล
4. **การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น**:
– ผู้ต้องหาจะได้รับการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โดยศาลจะพิจารณาหลักฐานและพยานของทั้งสองฝ่าย
– ผู้ต้องหาสามารถนำเสนอพยานและหลักฐานเพื่อป้องกันตนเอง
5. **การตัดสินคดีและการลงโทษ**:
– หากศาลพิจารณาว่าผู้ต้องหามีความผิด ศาลจะตัดสินและกำหนดโทษตามกฎหมาย
– โทษอาจรวมถึงการจำคุก การปรับ หรือการลงโทษประหารชีวิตในกรณีที่มีความร้ายแรง
จำเลยมีสิทธิในชั้นศาล
1. สิทธิในการพิจารณาอย่างเปิดเผย
2. สิทธิในการพิจารณาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
3. สิทธิในการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์
4. สิทธิที่จะได้รับแจ้งโดยพลันซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพและเหตุแห่งความผิดที่ถูกกล่าวหา ในภาษาซึ่งบุคคลนั้นเข้าใจได้
5. สิทธิที่จะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแก่การเตรียมการเพื่อต่อสู้คดี และติดต่อกับทนายความที่ตนเลือกได้
6. ปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
7. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยไม่ชักช้าเกินความจาเป็น
8. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาต่อหน้าบุคคลนั้น และสิทธิที่จะต่อสู้คดีด้วยตนเอง หรือโดยผ่านผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายที่ตนเลือก
9. สิทธิที่จะซักถามพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน และขอให้เรียกพยานฝ่ายตนมาซักถามภายใต้เงื่อนไขเดียวกับพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน
10.สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากล่ามโดยไม่คิดมูลค่า หากไม่สามารถเข้าใจหรือพูดภาษาที่ใช้ในศาลได้
11. สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง หรือให้รับสารภาพผิด
ขั้นตอนแรก “นัดคุ้มครองสิทธิ” เพื่อให้ผู้พิพากษาได้สอบถามข้อเท็จจริง อธิบายข้อกฎหมาย รูปเรื่องความเป็นมาแห่งคดีให้กับจำเลยได้เข้าใจ ก่อนที่จำเลยจะตัดสินใจรับสารภาพหรือประสงค์จะต่อสู้คดี
ขั้นตอนที่สอง นัดพร้อมและสอบคำให้การตรวจพยานหลักฐาน โดยศาลจะนัดให้จำเลยและโจทก์มาพร้อมกันที่ศาลเพื่อแถลงพยานเอกสารและบุคคลเพื่อทำการนัดสืบพยานต่อไป
ขั้นตอนที่สาม สืบพยานโจทก์และจำเลย ขั้นตอนนี้คือการสืบพยานบุคคลของโจทก์และจำเลย โดยที่ทั้งสองฝ่ายสามารถถามค้านได้
อาจมีนัดไต่สวน ในกรณีที่มีการไต่สวนเรื่องอื่นๆ เช่น ไต่สวนขอปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนขอถอนประกัน เป็นต้น
ขั้นตอนสุดท้ายของศาลชั้นนี้ คือการมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ตามประมวลกฎหมาย วิ.อาญา ระบุว่าศาลต้องอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยฟัง จำเลยจึงต้องมาฟังตามวันเวลาที่ศาลนัด ถ้าจำเลยไม่มาฟังและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจงใจหลงหนี หรือจงใจไม่มา ศาลจะออกหมายจับจำเลย ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาภายใน 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว
6. **การยื่นอุทธรณ์และฎีกา**:
– หากฝ่ายใดไม่พอใจกับคำตัดสินของศาลชั้นต้น สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้
การอุทธรณ์คือการยื่นคำร้องต่อศาลสูงคัดค้านคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลชั้นต้น
- ถ้าเป็นคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา โจทก์และจำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษา
- หากไม่ยื่นอุทธรณ์ นั่นคือคดีถึงที่สิ้นสุดแล้ว
– หากยังไม่พอใจกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ สามารถยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาได้
ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีเขตอำนาจทั่วประเทศ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษา
7. **การบังคับใช้โทษ**:
– เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุด โทษจะถูกบังคับใช้ตามที่ศาลกำหนด
– หากเป็นโทษจำคุก ผู้ต้องหาจะถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำ
### บทบาทของทนายความ
**ทนายความ** มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้ต้องหาและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ทนายความจะช่วยในการเตรียมพยานหลักฐานและนำเสนอคดีในศาล เพื่อให้ผู้ต้องหาได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม
### สิทธิของผู้ต้องหา
ผู้ต้องหาในคดีอาญามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมและมีสิทธิ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการมีทนายความในการป้องกันตนเอง
ค่าบริการในการว่าความในศาลชั้นต้น
1. คดีอาญา
ค่าจ้างทนายอาญา กรณีเป็นโจทก์และยื่นฟ้องตรงต่อศาล
1.ค่าทนายอาญา 60,000 บาท ขึ้นไป
ค่าจ้างทนายอาญา กรณีเป็นโจทก์และแจ้งความดำเนินคดี ต่อพนักงานสอบสวน
1. ค่าทนายอาญา 60,000 บาทขึ้นไป
2. ทนายดูแล เฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน 25,000 บาทขึ้นไป
ค่าทนายอาญากรณีเป็นจำเลย
1. ค่าดำเนินดูแลคดี 50,000 บาทขึ้นไป
2. ทนายประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน 25,000 บาทขึ้นไป
ทนายชั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
1.ค่าทนาย ในชั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา 50,000 บาทขึ้นไป
ต่างจังหวัด ท่านต้องชำระค่าเดินทาง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 2,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,000 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 4,000 บาท