การบังคับคดีขับไล่ลูกหนี้ออกจากอสังหาริมทรัพย์
สิ่งที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ต้องรู้
เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ แต่ลูกหนี้ไม่ยอมปฏิบัติตาม กฎหมายได้กำหนดขั้นตอนการบังคับคดีไว้ชัดเจนใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 351-354 เพื่อให้เจ้าหนี้ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามคำพิพากษา โดยคำนึงถึงสิทธิของทุกฝ่ายทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตราที่ใช้บังคับคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 351 ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง (1) ถ้าทรัพย์นั้นไม่มีบุคคลใดอยู่แล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา 352 (2) ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ออกไปจากทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา 353 มาตรา 352 ในกรณีตามมาตรา 351 (1) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจส่งมอบทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองได้ทันที ถ้ามีสิ่งกีดขวางอันเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจทำลายสิ่งกีดขวางดังกล่าวได้ตามความจำเป็น ถ้ายังมีสิ่งของของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือของบุคคลใดอยู่ในทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีสิ่งของนั้นไว้ และมีอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้ (1) ถ้าสิ่งของนั้นมีสภาพเป็นของสดของเสียได้ หรือมีสภาพอันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของสิ่งของนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจจำหน่ายสิ่งของนั้นได้ทันทีโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นที่เห็นสมควร และเก็บรักษาเงินสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายไว้แทนสิ่งของนั้น หรือทำลายสิ่งของนั้น หรือดำเนินการอื่นใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงสภาพแห่งสิ่งของ ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย และประโยชน์สาธารณะ (2) ถ้าสิ่งของนั้นมิใช่สิ่งของตามที่ระบุไว้ใน (1) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจนำสิ่งของนั้นมาเก็บรักษาไว้ หรือมอบให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้รักษา หรือฝากไว้ ณ สถานที่ใด หรือแก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร แล้วแจ้งหรือประกาศให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของมารับคืนไปภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มารับหรือไม่ยอมรับสิ่งของนั้นคืนไปภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตาม (1) โดยอนุโลม เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มาจากการจำหน่ายสิ่งของตามวรรคสอง (1) หรือ (2) ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มาขอรับคืนภายในกำหนดห้าปีนับแต่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ในกรณีที่สิ่งของตามวรรคสองถูกยึด อายัด หรือห้ามโอน ยักย้าย หรือจำหน่ายตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือเพื่อการบังคับคดีในคดีอื่น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจย้ายสิ่งของดังกล่าวไปเก็บไว้ ณ สถานที่อื่นได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่นทราบด้วย ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรานี้ และให้ถือว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป มาตรา 353 ในกรณีตามมาตรา 351 (2) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) รายงานต่อศาลเพื่อมีคำสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวาร และให้ศาลมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังได้ทันที ในกรณีเช่นว่านี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 363 มาใช้บังคับโดยอนุโลม (2) ปิดประกาศให้บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นซึ่งอ้างว่ามิได้เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันปิดประกาศแสดงว่าตนมีอำนาจพิเศษในการอยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้น เมื่อมีการจับกุมลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารตาม (1) แล้ว หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวหลบหนีไปจากทรัพย์นั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา 352 มาตรา 354 เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 351 ให้ถือว่าบุคคลดังต่อไปนี้เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา (1) บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นและมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 353 (2) หรือยื่นคำร้องต่อศาลแล้วแต่แสดงต่อศาลไม่ได้ว่าตนมีอำนาจพิเศษในการอยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้น (2) บุคคลที่เข้ามาอยู่ในทรัพย์นั้นในระหว่างเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์นั้นขั้นตอนการบังคับคดีตามกฎหมาย
1. กรณีทรัพย์นั้นไม่มีบุคคลใดอยู่แล้ว (มาตรา 351(1) และ มาตรา 352)
หากทรัพย์สินไม่มีผู้อยู่อาศัย เจ้าพนักงานบังคับคดี จะส่งมอบทรัพย์ให้เจ้าหนี้ทันที และมีอำนาจทำลายสิ่งกีดขวางที่ขัดขวางการส่งมอบ
การจัดการทรัพย์สินภายใน:- ของสด/ของเสียง่าย เช่น อาหาร วัตถุอันตราย: ขายทอดตลาดหรือทำลายได้ทันที
- ทรัพย์สินทั่วไป: ทำบัญชีรายการ เก็บรักษา หรือฝากไว้กับบุคคลที่เหมาะสม หากลูกหนี้ไม่มารับภายในเวลาที่กำหนด (ไม่เกิน 5 ปี) ทรัพย์สินหรือเงินจากการขายจะตกเป็นของแผ่นดิน
2. กรณีลูกหนี้หรือบริวารไม่ยอมออก (มาตรา 351(2) และ มาตรา 353)
หากลูกหนี้หรือบริวารขัดขืน:
- เจ้าพนักงานบังคับคดี รายงานศาลเพื่อออกหมายจับกุมและกักขังได้ทันที
- บุคคลที่อ้างสิทธิ ต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือเป็น "บริวาร" ของลูกหนี้ (ตามมาตรา 354)
ตัวอย่างคำพิพากษา
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2545 คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหาย คดีถึงที่สุด โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสี่ทราบ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วันครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสี่และบริวารไม่ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจัดการให้เป็นไปตามคำพิพากษาผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศขับไล่จำเลยทั้งสี่และบริวาร วันที่ 29 เมษายน 2542 เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้แทนโจทก์แถลงว่าไม่พบจำเลยหรือบริวารอยู่ในที่ดินพิพาท ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ผู้แทนโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจแล้ว เมื่อไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้แทนโจทก์แล้วในวันดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่สามารถครอบครองที่ดินพิพาทได้ เนื่องจากจำเลยและบริวารเข้าขัดขวางอันถือได้ว่าจำเลยและบริวารไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและหมายบังคับคดี ขอให้นัดพร้อมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำแถลง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลย หรือทำการไต่สวน หรือสั่งให้เจ้าพนักงานสอบสวนข้อเท็จจริงว่าจำเลยและบริวารพร้อมทรัพย์สินยังคงอยู่ในที่ดินพิพาทหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียังบังคับคดีไม่เสร็จสิ้น จำเลยและบริวารพร้อมทรัพย์สินยังคงอยู่ในที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่ได้ขับไล่จำเลยและบริวารและยังไม่ได้รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยและบริวารออกไปขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นต่อไปหรือทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ความจริงหรือออกหมายจับจำเลยและบริวารหรือทำการไต่สวนให้ได้ความจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการบังคับคดีเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 29 เมษายน 2542 ได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าเมื่อไปถึงที่ดินพิพาทพร้อมผู้แทนโจทก์ไม่พบจำเลยทั้งสี่หรือบริวารอยู่ในที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ผู้แทนโจทก์เป็นผู้รับมอบไว้ ดังนั้น การบังคับคดีจึงเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วตามกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองที่ดินพิพาทได้ทันทีนับแต่รับมอบที่ดินพิพาท การที่โจทก์ไม่เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจนกระทั่งจำเลยเข้ามารบกวนการครอบครองอีก ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่รบกวนสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลังที่การบังคับคดีในคดีนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วโจทก์ชอบที่จะดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ตรี ผู้พิพากษา มงคล ทับเที่ยง สุรพล เจียมจูไร วิศณุ เลื่อมสำราข้อเสนอแนะสำหรับเจ้าหนี้และลูกหนี้
-
สำหรับเจ้าหนี้ :
- เตรียมเอกสารให้พร้อม: สำเนาคำพิพากษา หลักฐานการแจ้งเตือนลูกหนี้
- ไม่ใช้ความรุนแรง: ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อป้องกันข้อกล่าวหาเกินกว่าเหตุ สำหรับูกหนี้ :
- ใช้สิทธิ์ยื่นคำร้อง: หากมีเหตุจำเป็นหรือมีสิทธิ์อยู่อาศัยตามกฎหมาย (เช่น สัญญาเช่า)
- เคลียร์ทรัพย์สินก่อนถูกบังคับคดี: ลดความเสี่ยงการสูญเสียทรัพย์สินหรือถูกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- ไม่ใช้ความรุนแรง: ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อป้องกันข้อกล่าวหาเกินกว่าเหตุ สำหรับูกหนี้ :
สรุป
1. การบังคับคดีขับไล่ลูกหนี้ต้องทำตามขั้นตอนกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งเพื่อรักษาสิทธิ์ของเจ้าหนี้และป้องกันการละเมิดสิทธิ์ลูกหนี้ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษานักกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง!
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นข้อมูลทั่วไป กรณีปรึกษาคดีเฉพาะควรติดต่อสำนักงานโดยตรง