รับว่าความคดีแพ่ง
รับว่าความและต่อสู้คดี ดำเนินคดีแพ่งทั่วไป เจรจาไกล่เกลี่ย/ประนอมหนี้ คดีไม่มีข้อพิพาท เช่น ร้องขอรื้อบริษัทร้าง รวมถึงบริการชั้นบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล เช่น ตั้งเรื่องบังคับคดี สืบทรัพย์ ตรวจกรรมสิทธิ์ที่ดิน/ห้องชุด ตรวจกรรมสิทธิ์รถยนต์ ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด– คดีผิดสัญญาซื้อขาย – คดีผิดสัญญาจ้างทำของ – คดีผิดสัญญากู้ยืมเงิน – คดีละเมิด เรียกค่าเสียหาย – คดีแชร์ – คดีที่ดิน
โดยสำนักงานมีระบบติดตามสำนวนคดีได้ 24 ชั่วโมง
กฎหมายแพ่ง มีลักษณะเป็นกฎหมายเอกชน ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน เป็นเรื่องที่รัฐไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม จึงปล่อยให้ประชาชนมีอิสระในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันเองภายในกรอบของกฎหมาย หลักทั่วไปที่ควรทราบเป็นพื้นฐาน
1. นิติกรรม | |
2.บุคคล | |
2.1 บุคคลธรรมดา | |
2.2 นิติบุคคล | |
1. นิติกรรม หมายถึง การกระทำของบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายและโดยใจสมัครมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ นิติกรรมจะมีผลสมบูรณ์ต้องกระทำให้ถูกหลักเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนดไว้ คือ วัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมไม่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ไม่เป็นการพ้นวิสัย ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หากกระทำการฝ่าฝืนวัตถุที่ประสงค์ดังกล่าว นิติกรรมนั้น เป็นโมฆะคือเสียเปล่าไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย | |
ความสมบูรณ์ของนิติกรรม | |
กฎหมายได้บัญญัติถึงเรื่องความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำขึ้นเป็น 3 กรณีคือ | |
1) กรณีที่นิติกรรมกระทำขึ้นถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ย่อมสมบูรณ์มีผลใช้บังคับ | |
2) กรณีนิติกรรมที่กระทำขึ้นมีข้อที่อาจเสื่อมเสียบางประการกฎหมายจึงเข้าคุ้มครองปกป้องสิทธิของฝ่ายที่เสียเปรียบโดยกำหนดให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ตลอดไปหรือสิ้นผลไป สุดแท้แต่ฝ่ายที่เสียเปรียบนั้นจะเลือก เรียกว่านิติกรรมที่เป็นโมฆียะ | |
3) กรณีนิติกรรมที่กระทำขึ้นไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติในเรื่องที่เป็นสาระสำคัญ จึงตกเป็นโมฆะ แยกเหตุแห่งโมฆะกรรมอันเกิดจากวัตถุประสงค์ของนิติกรรม ได้อีกเป็น 3 กรณี คือ | |
3.1) นิติกรรมมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เช่น ทำสัญญาซื้อขายเฮโรอีน วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 | |
3.2) นิติกรรมมีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย คือ ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ไก่ทำสัญญาจ้างไข่ไปเก็บดวงดาวบนท้องฟ้า สัญญานี้ย่อมตกเป็นโมฆะ | |
2. บุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บุคคลธรรมดา (Natural Persons) และ นิติบุคคล (Juristic Persons) | |
2.1 บุคคลธรรมดา (Natural Persons) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 บัญญัติหลักเกณฑ์การเริ่มสภาพบุคคลว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก. .” จากบทบัญญัตินี้จึงถือว่าการเริ่มสภาพบุคคลประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ | |
1) มีการคลอด คือ การที่ทารกได้พ้นออกมาจากช่องคลอด โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดเหลือติดอยู่ ส่วนจะมีการตัดสายสะดือหรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญ | |
ความสามารถของบุคคล (Capacity) | |
ความสามารถของบุคคล หมายถึง ความสามารถในการมีสิทธิหรือใช้สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งโดยปกติบุคคลทุกคนย่อมมีความสามารถในการใช้สิทธิได้ทัดเทียมกัน แต่มีบางกรณีเพื่อคุ้มครองบุคคลบางประเภท กฎหมายจึงได้จำกัดหรือตัดทอนความสามารถของบุคคลประเภทนั้น ๆ เสีย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้แก่ ผู้หย่อนความสามารถซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ | |
ก. ผู้เยาว์ | |
ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะการบรรลุนิติภาวะหรือการพ้นจากภาวะผู้เยาว์มีได้ 2 กรณี คือ (1) อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (2) อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ได้ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย คือ สมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว หรือเมื่อศาลอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้ความสามารถในการใช้สิทธิของผู้เยาว์ แยกได้ 2 กรณี คือกรณีที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม และกรณีที่ผู้เยาว์สามารถใช้สิทธิกระทำได้เอง | |
(1) กรณีที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 บัญญัติว่า “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”การใด ๆ ในที่นี้ หมายความถึงเฉพาะการทำ “นิติกรรม” เท่านั้น ถ้าเป็นการกระทำอย่างอื่นที่มิใช่นิติกรรม เช่น ผู้เยาว์กระทำละเมิดต่อผู้อื่น ผู้เยาว์จะต้องรับผิดชอบในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น จะอ้างว่าการกระทำนั้นมิได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ได้“ผู้แทนโดยชอบธรรม” หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจทำนิติกรรมต่าง ๆ แทนผู้เยาว์ หรือให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการทำนิติกรรม ผู้แทนโดยชอบธรรมได้แก่ | |
– ผู้ใช้อำนาจปกครอง คือ บิดาและมารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจ ปกครองร่วมกันในกรณีที่ผู้เยาว์นั้นมีทั้งบิดาและมารดา หรืออาจจะเป็นบิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ ในกรณีที่บิดาหรือมารดาตาย ไม่แน่นอนว่าบิดาหรือมารดามีชีวิตอยู่ บิดาหรือมารดาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ บิดาหรือมารดาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะจิตฟั่นเฟือน ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา | |
– ผู้ปกครอง ผู้ปกครองของผู้เยาว์จะมีได้ก็แต่เฉพาะในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ผู้เยาว์ไม่มีบิดา หรือมีบิดามารดาแต่ได้ถูกถอนอำนาจปกครองแล้ว | |
(2) กรณีที่ผู้เยาว์สามารถใช้สิทธิกระทำได้เอง | |
นิติกรรมที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้เยาว์กระทำได้โดยลำพังตนเองไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมอันเป็นข้อยกเว้นหลักทั่วไป คือ | |
1) นิติกรรมที่เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว ได้แก่ นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไป ซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือทำให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง นิติกรรมที่ทำให้ได้ไปซึ่งสิทธิ เช่น การรับการให้โดยเสน่หา โดยไม่มีภาระผูกพัน นิติกรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากหน้าที่ เช่น การที่เจ้าหนี้ทำนิติกรรมปลดหนี้ให้ | |
2) นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว เช่น รับรองบุตร | |
3) นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพของผู้เยาว์ ซึ่งเป็นการสมควรแก่ฐานานุรูป เช่น การซื้ออาหารกิน ซื้อสมุดดินสอ ขึ้นรถประจำทาง ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของผู้เยาว์เป็นราย ๆ ไป | |
4) การทำพินัยกรรม ผู้เยาว์ทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุ 15 ปี บริบูรณ์ ถ้าผู้เยาว์ทำพินัยกรรมในขณะที่อายุยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ แม้ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม พินัยกรรมนั้นก็ยังคงเป็นโมฆะ | |
5) การจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ผู้เยาว์ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถจำนำสิ่งของในโรงรับจำนำได้ แต่การจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 748 ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม |
ข. คนไร้ความสามารถ | |
คือ บุคคลวิกลจริตที่คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดานของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาล และศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถการสิ้นสุดแห่งการเป็นคนไร้ความสามารถ จะมีได้ในกรณีที่คนไร้ความสามารถถึงแก่ความตาย หรือเมื่อศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถบุคคลที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาลของผู้อนุบาล ผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ บิดามารดา ในกรณีที่คนไร้ความสามารถยังมิได้ทำการสมรส หรืออาจจะเป็นภริยาหรือสามี ในกรณีที่คนไร้ความสามารถทำการสมรสแล้วนิติกรรมที่คนไร้ความสามารถได้ทำลงตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม จะต้องให้ผู้อนุบาลเป็นผู้ทำแทนข้อสังเกต คนวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถย่อมถือว่าอยู่ในฐานะเป็นผู้มีความสามารถเหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป จึงสามารถทำนิติกรรม ใด ๆ ได้สมบูรณ์เว้นแต่ อาจจะเป็นโมฆียะได้ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่านิติกรรมนั้นได้ทำขึ้นในขณะที่ผู้นั้นวิกลจริตอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่ว่าผู้นั้นเป็นคนวิกลจริต | |
ค. คนเสมือนไร้ความสามารถ | |
คือ บุคคลที่ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้เพราะมีกายพิการ จิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ ติดสุรายาเมา และคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลแล้วศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถการสิ้นสุดแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ จะมีได้ในกรณีที่บุคคลนั้นถึงแก่ความตาย ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเมื่อศาลได้สั่งถอนคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถจะตกอยู่ในความพิทักษ์ของบุคคลที่เรียกว่าผู้พิทักษ์ และจะถูกจำกัดความสามารถบางชนิด กล่าวคือ โดยหลักทั่วไปคนเสมือนไร้ความสามารถย่อมสามารถที่จะทำนิติกรรมใด ๆ ได้และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่ นิติกรรมที่กำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 34 เช่น การนำทรัพย์สินไปลงทุน การทำสัญญากู้ยืมหรือรับประกัน การประนีประนอมยอมความ การเช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3 ปี เป็นต้น จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นเป็นโมฆียะ | |
การสิ้นสภาพบุคคล | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 บัญญัติถึงเรื่องการสิ้นสภาพบุคคลไว้ว่า “…สภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย” การตายนี้แยกออกเป็น 2 กรณี คือ | |
1) ตายธรรมดา เป็นการตายตามธรรมชาติ สภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ตายโดยปกติเมื่อบุคคลใดตายก็ย่อมสามารถทราบได้ว่าบุคคลนั้นตายเมื่อใด แต่บางกรณีอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ถ้ามีบุคคลหลายคนถึงแก่ความตายพร้อมกันในเหตุภยันตรายร่วมกัน และไม่ทราบว่าใครตายก่อนตายหลังกันแน่ ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือต้องทราบว่าใครตายก่อนหลัง เพราะจะต้องเกี่ยวพันถึงมรดก ด้วยเหตุนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 17 จึงบัญญัติว่า “ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลัง ให้ถือว่าตายพร้อมกัน” | |
2) สาบสูญ เป็นการตายตามกฎหมาย กล่าวคือบุคคลใดเมื่อถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้วกฎหมายถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย การจะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ดังนี้ คือ | |
2.1) บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่ทราบข่าวว่าเป็นตายร้ายดีประการใด เป็นระยะเวลา 5 ปี ในกรณีธรรมดา โดยนับตั้งแต่วันที่ออกไปจากบ้านหรือวันที่ส่งข่าวให้ทราบเป็นครั้งสุดท้าย 2 ปี ในกรณีพิเศษ ได้แก่ กรณีที่บุคคลได้ไปถึงที่สมรภูมิแห่งสงคราม หรือไปตกอยู่ในเรือเมื่ออับปาง หรือไปตกอยู่ในฐานะที่จะเป็นอันตรายแก่ชีวิต ประการอื่น การนับระยะเวลา 2 ปี นี้จะนับตั้งแต่สงครามสงบ หรือเมื่อเรืออับปาง หรือนับแต่ภยันตรายอย่างอื่นนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วแต่กรณี | |
2.2) มีคำสั่งของศาลแสดงการสาบสูญ ซึ่งศาลจะสั่งได้ก็ต่อเมื่อผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ บิดา มารดา บุตร ภริยา สามี หรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ร้องขอต่อศาล และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดสาบสูญแล้วให้โฆษณาคำสั่งนั้นในราชกิจจานุเบกษาเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้วจะมีผลดังนี้ คือ | |
(1) ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ (ถึงแก่ความตาย) นับตั้งแต่เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี หรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี (มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง) | |
(2) เมื่อเป็นคนสาบสูญแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของคนสาบสูญจะตกเป็นมรดกแก่ทายาท ยกเว้นเรื่องการสมรส การสาบสูญไม่ทำให้การสมรสขาดจากกันเป็นเพียงเหตุฟ้องหย่าเท่านั้นคนสาบสูญจะพ้นสภาพจากการเป็นคนสาบสูญได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ | |
1) ถ้าพิสูจน์ได้ว่าบุคคลสาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือตายในเวลาอื่นผิดจากระยะเวลาที่มีการร้องขอให้ศาลสั่งเป็นคนสาบสูญ | |
2) เมื่อบุคคลผู้นั้นเอง ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอและ | |
3) ศาลมีคำสั่งถอนคำสั่งให้เป็นสาบสูญ และคำสั่งนี้ต้องโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาเช่นเดียวกับคำสั่งแสดงการสาบสูญการเพิกถอนคำสั่งแสดงการสาบสูญ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายที่ได้กระทำโดยสุจริต ในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่งแสดงการสาบสูญจนถึงเวลาเพิกถอนคำสั่งนั้น อนึ่ง บุคคลที่ได้รับทรัพย์สินมาเนื่องแต่การที่ศาลสั่งแสดงการสาบสูญ แต่ต้องเสียสิทธิของตนไป เพราะศาลสั่งถอนคำสั่งแสดงการสาบสูญนั้น จำต้องส่งคืนทรัพย์สินแต่เพียงเท่าที่ยังได้เป็นลาภอยู่แก่ตน |
2.2 นิติบุคคล (Juristic Persons) | |
คือ บุคคลตามกฎหมายที่กฎหมายสมมติขึ้น และรับรองให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เว้นแต่ สิทธิและหน้าที่บางอย่างซึ่งบุคคลธรรมดามีอยู่นั้น นิติบุคคลจะมีไม่ได้ เช่น สิทธิในด้านครอบครัว สิทธิในทางการเมือง เป็นต้น | |
ประเภทของนิติบุคคล | |
การเป็นนิติบุคคล แบ่งตามอำนาจของกฎหมายที่ก่อตั้งขึ้นได้เป็น 2 ประเภท คือ นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และนิติบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ | |
1) นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ | |
1.1) ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนสามัญ และห้างหุ้นส่วนจำกัด | |
1.2) บริษัทจำกัด คือ บริษัทที่ตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยมีผู้ถือหุ้น ๗ คนขึ้นไป และผู้ถือหุ้นทุกคนต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ และบริษัทจำกัดนี้กฎหมายบังคับให้จดทะเบียนซึ่งเมื่อจดทะเบียนแล้วก็จะมีสภาพเป็นนิติบุคคล | |
1.3) สมาคม คือ การที่บุคคลหลายคนตกลงเข้ากันเพื่อทำการอันใดอันหนึ่งอันมีลักษณะต่อเนื่องร่วมกัน และมิใช่เป็นการหากำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน จึงต่างกับบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนซึ่งมุ่งหากำไร สมาคมที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล | |
1.4) มูลนิธิ คือ ทรัพย์สินอันจัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะวิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อ สาธารณประโยชน์อย่างอื่นโดยมิได้มุ่งหมายหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันและต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย มูลนิธีที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล | |
2) นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ | |
1. ความผิดเพื่อละเมิดในการกระทำของตนเอง | |
2. ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น | |
3. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ | |
ความผิดเพื่อละเมิดในการกระทำของตนเอง | |
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น คำว่า ผู้ใด หมายถึง บุคคลทุกชนิด ไม่ว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต ประการต่อมาต้องพิจารณาว่า บุคคลนั้นต้องมีการกระทำด้วย ซึ่งการกระทำนั้นนอกจากจะหมายถึงการเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหว แล้ว ยังหมายความรวมถึง การงดเว้นไม่กระทำ (omission) แต่ต้องภายใต้เงื่อนไขว่า การงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ต้องทำหน้าที่นี้ อาจเกิดจากกฎหมายหรือเกิดจากสัญญาหรือความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหายหรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น | |
สิ่งต้องทำความเข้าใจ | |
1. หน้าที่ตามกฎหมาย หมายความว่า มีกฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับหน้าที่ที่ต้องทำ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน จะเห็นได้ว่า หากไม่อุปการะเลี้ยงดูจนผู้มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูได้รับความเสียหาย ย่อมเป็นละเมิด เกิดจากการงดเว้นการะทำของผู้มีหน้าที่ อย่างไรก็ดี การงดเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้กระทำหรือตนไม่มีหน้าที่ก็ไม่ถือเป็นละเมิด | |
ฎ. 857/2512 การที่จำเลยไม่จัดคนเฝ้าบ้านของบุคคลที่ยกให้จำเลยหรือไม่รื้อถอนอาการดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้จำเลยมีหน้าที่ต้องทำ การที่คนร้ายเข้าไปในบริเวณบ้านดังกล่าวแล้ววางเพลิงเผาบ้านและทรัพย์สินของโจทก์ จะถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ | |
2. หน้าที่ตามสัญญา ตัวอย่างเช่น มีสัญญาจ้างแพทย์รักษาโรค แต่แพทย์ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เป็นผลให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการงดเว้น จึงเป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิด | |
3. หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น เช่น แขกมาเยี่ยมบ้าน เจ้าของบ้านก็ต้องจัดเก้าอี้ที่อยู่ในสภาพเรียบร้อยให้แขก เป็นต้น ส่วนหน้าที่อันเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริง เช่น แพทย์ประจำโรงพยาบาลระหว่างเดินทางกลับบ้าน เห็นผู้เจ็บป่วยก็เข้าช่วยเหลือรักษาพยาบาลอันมิใช่หน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญา หากงดเว้นไม่ทำหน้าที่ต่อไปให้ตลอด ก็ย่อมเป็นการงดเว้น | |
สิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคล | |
1) สิทธิและหน้าที่ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ ซึ่งย่อมเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้งของนิติบุคคลนั้น จะทำการใดนอกขอบเขตวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ไม่ได้ | |
2) สิทธิและหน้าที่ซึ่งเหมือนกับบุคคลธรรมดา เว้นเสียแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งว่าโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดา เช่น ไม่อาจที่จะทำการสมรส ไม่มีหน้าที่รับราชการทหาร ไม่มีสิทธิทางการเมือง เป็นต้น | |
การจัดการนิติบุคคล | |
เนื่องจากนิติบุคคลเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจจึงไม่สามารถที่จะแสดงเจตนาหรือทำการโดยตนเองได้ ดังนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70 วรรคสอง จึงบัญญัติว่า “ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล” | |
ประเด็นทางกฎหมายที่พบบ่อยในการประกอบวิชาชีพในทางแพ่ง | |
ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น | |
ศาสตราจารย์ไพจิตร ปุญญพันธุ์ ให้ความหมายว่า เป็นความรับผิดของบุคคลผู้หนึ่งในการกระทำละเมิดของบุคคลอีกผู้หนึ่ง โดยที่บุคคลที่ต้องรับผิดนั้นไม่ได้กระทำละเมิดด้วยตนเอง ทั้งนี้โดยมีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องรับผิด | |
หากพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น จะเห็นว่าในบทบัญญัติดังกล่าวนั้นจะกล่าวเฉพาะนายจ้างกับลูกจ้าง ดังนั้นต้องศึกษาเกี่ยวกับความหมายของนายจ้างและลูกจ้างว่าคืออะไร นายจ้างเป็นบุคคลซึ่งมีคำสั่งและควบคุมงานลูกจ้าง ส่วนลูกจ้างเป็นเพียงบุคคลที่อยู่ภายใต้คำสั่งของนายจ้างและต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายจ้าง | |
กรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพฯที่ทำงานในส่วนของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สถานีอนามัย เป็นต้น นั้นจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ หากมีการทำละเมิดเกิดขึ้น เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ มุ่งคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เว้นแต่ว่าการละเมิดเกิดจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง กฎหมายจะไม่คุ้มครอง | |
ส่วนผู้ประกอบวิชาชีพฯทำงานในสถานพยาบาลเอกชน ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล ต่าง ๆนั้นจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | |
ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ | |
เป็นความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลหรือทรัพย์อันตราย บุคคลที่ต้องรับผิด ได้แก่ ผู้ครอบครองหรือควบคุมสำหรับทรัพย์อันตราย | |
อย่างไรก็ดี มีข้อยกเว้นความรับผิดเอาไว้ คือ หากพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือความผิดของผู้ต้องเสียหายเอง | |
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด | |
ความมุ่งหมายในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นหลักการพื้นฐานก็คือ ให้ผู้เสียหายกลับคืนสู่ฐานะเดิมเมื่อยังไม่มีการกระทำละเมิด ศาลเป็นผู้วินิจฉัยว่าค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใด ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด |
ขั้นตอนการดำเนินคดี
กระบวนพิจารณาคดีในศาล จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก จึงต้องมีการกำหนดวิธีปฏิบัติตามวันนัดพิจารณาคดีแต่ละนัดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
1. ยื่นคำฟ้อง คำให้การ คำร้อง
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่กล่าวในฟ้องมีพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อได้ โจทก์เรียกร้องอะไรจากจำเลย
2. นัดพร้อม
เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายมาศาลและต้องการที่จะให้มีการตกลงเจรจา ไกล่เกลี่ย กันก่อน ศาลจะสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าต้องการที่จะตกลงกันก่อนหรือไม่ มีพยานกี่ปาก แนวทางการสืบพยาน
3. นัดไกล่เกลี่ย
เมื่อเข้าห้องไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงกันได้ก็จะมีการถอนฟ้องหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หากตกลงกันไม่ได้ สำนวนคดีก็จะถูกส่งกลับมาที่ห้องพิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
4. นัดชี้สองสถาน
คือการกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีและหน้าที่นำสืบ
5. นัดสืบพยาน
สืบพยานโจทก์ พยานจำเลย
6. นัดฟังคำพิพากษา ศาลจะอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง ศาลจะวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งปวงในคดี ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายไหนมีเหตุผลน่าเชื่อกว่าก็ตัดสินให้ฝ่ายนั้นชนะ
ขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา
1. ยื่นคำฟ้อง
โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการจะต้องตรวจดูว่ามีพยานหลักฐานสนับสนุนว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหรือไม่
2. นัดไต่สวนมูลฟ้อง เฉพาะในคดีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ได้มีการสอบสวนมาแล้ว ปกติจะไม่มีการไต่สวนมูลฟ้อง พนักงานอัยการเพียงแต่นำตัวจำเลยมาศาลเพื่อยื่นฟ้อง
ส่วนคดีอาญาที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์เองก็ต้องเริ่มด้วยการไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ต้องนำพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าคดีของตนมีมูลที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณา โดยจำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูลจะสั่งรับฟ้อง และศาลจะออกหมายเรียกให้จำเลยมาสู้คดี
3. นัดสอบคำให้การจำเลย
เมื่อจำเลยมาศาลแล้วศาลจะอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟัง และถามจำเลยว่าจะให้การอย่างไร ถ้าจำเลยปฏิเสธก็จะมีการนัดสืบพยานต่อไป
4. นัดตรวจพยานหลักฐาน
กรณีมีพยานหลักฐานมาก ศาลอาจเห็นว่าหรือคู่ความร้องขอ
5. นัดสืบพยาน
โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อน ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด และจำเลยนำพยานหลักฐานสืบแก้ เมื่อสืบพยานเสร็จ ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
6. นัดฟังคำพิพากษา
ในการตัดสินคดีศาลจะวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งปวงในคดี พยานหลักฐานของโจทก์ว่าสามารถฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง โดยปราศจากข้อสงสัยอันสมควร ยกฟ้อง อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง
ค่าบริการในการว่าความในศาลชั้นต้น
1. คดีแพ่ง
คดีไม่มีข้อพิพาทหรือคดีไม่มีทุนทรัพย์
เป็นคดีที่มีการร้องขอฝ่ายเดียว เพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย เช่น คดีร้องจัดการมรดก, คดีร้องขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ หรือบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น ค่าว่าความคิดขั้นต่ำคดีละ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)
หมายเหตุ กรณีมีการคัดค้านหรือมีการต่อสู้คดี ก็จะมีการตกลงกันอีกครั้ง
คดีมีข้อพิพาท หรือคดีมีทุนทรัพย์
กรณีที่ท่านเป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วม ท่านต้องชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีดังต่อไปนี้
คดีทุนทรัพย์ (บาท) | ค่าทนายความ (บาท) | ค่าวิชาชีพ(บาท) | ค่าบังคับคดี (ร้อยละ) |
ไม่เกิน 50,000 | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 30 |
50,001 ถึง 100,000 | 15,000 | 10,000 | 30 |
100,001 ถึง 300,000 | 30,000 | 12,000 | 30 |
300,001 ถึง 500,000 | 35,000 | 14,000 | 30 |
500,001 ถึง 800,000 | 40,000 | 15,000 | 20 |
800,001 ถึง 1,000,000 | 45,000 | 17,000 | 20 |
1,000,001 ถึง 2,000,000 | 50,000 | 18,000 | 10 |
2,000,001 ถึง 3,000,000 | 60,000 | 19,000 | 10 |
3,000,001 บาทขึ้นไป | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 10 |
เงื่อนไขการดำเนินงาน
1. ท่านต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม(ค่าขึ้นศาล)และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำส่งคำ คู่ความเองเป็นค่าธรรมเนียมตามปกติของศาล
(ตามใบเสร็จรับเงิน) ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
คดีมโนสาเร่ ทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 300,000 บาท เสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 1,000 บาท
คดีมีแพ่งสามัญ ทุน ทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท
ขึ้นไป เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 0.1 บาท
ค่านำหมาย,ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ (ถ้ามี),ค่าพาหนะของพยานหมาย (ถ้ามี)เป็นต้น
2. ท่านต้องชำระค่าทนายความตามทุนทรัพย์ก่อนที่จะทำคำฟ้องยื่นต่อศาล
3. ค่าบังคับคดี บริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อมีการบังคับคดี หากไม่มีการบังคับคดีท่านไม่ต้องจ่ายค่าบังคับคดี
4. ค่าว่าความ (อัตราร้อยละ) ทางบริษัทฯ คิดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง (ตามฟ้อง) และบริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อ
ท่านได้รับเงินจากลูกหนี้หรือจำเลยแล้ว(ตามเกณฑ์เงินสดที่ท่านได้รับ)
5. กรณีทนายความไปศาลต่างจังหวัด บริษัทฯ จะเรียกเก็บอัตราค่าเดินทางไปศาลในแต่ละครั้ง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 4,500 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 6,500 บาท
***สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ท่านไม่ต้องชำระค่าเดินทางในส่วนนี้
หมายเหตุ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าที่พัก,ค่าตั๋วรถเดินทาง,ค่าน้ำมันรถยนต์,ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ทางราชการ หรือเอกชน
ออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
6. คดีนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะตกลงกันตามความยากง่ายของการดำเนินคดี
7. การว่าจ้างมีการทำสัญญาว่าจ้างว่าความทุกครั้ง เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจในการจ้างทนายความ
กรณีที่ท่านเป็นจำเลยหรือจำเลยร่วมในคดีแพ่ง
ในคดีที่มีการร้องสอดหรือร้องคัดค้านให้เป็นคดีมีข้อพิพาท คิดค่าว่าความ จำนวน 15,000 บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
คดีที่ท่านถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง
ก.) คดีที่มีข้อพิพาทจากมูลละเมิด คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ข.) คดีที่มีข้อพิพาทจากนิติกรรมสัญญา คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ต่างจังหวัด ท่านต้องชำระค่าเดินทาง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 2,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,000 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 4,000 บาท
หมายเหตุ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าที่พัก, ค่าตั๋วรถเดินทาง, ค่าน้ำมันรถยนต์, ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ทางราชการหรือเอกชนออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
หรือ ในราคาตกลงกัน แล้วแต่กรณี