Business failure vs. cheating creditors

บทความกฎหมาย: คดีโกงเจ้าหนี้ - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2557

บทความกฎหมาย: คดีโกงเจ้าหนี้

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2557 คดีต่อสู้ของสำนักงาน

เรื่องย่อของคดี

ในคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เวลากลางวันถึงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามร่วมกันย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศ ยี่ห้อเช็นทรัลแอร์ เครื่องมืออุปกรณ์และอะไหล่รวมราคา ๒๒,๕๗๙,๑๙๙,๕๐ บาท ของผู้เสียหาย จากบ้านเลขที่....หมู่ที่ ๑ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ไปเก็บไว้ที่อื่น เพื่อมิให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนและจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เหตุเกิดที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๕๐ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาบริษัทฯผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ประกอบมาตรา ๘๓ วางโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับว่าเป็นหนี้โจทก์ร่วมจริงถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ๒ เดือน หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นชั้นต้น จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาสอุทธรณ์

คำพิพากษาแบบยาว

อ่านคำวินิจฉัยของศาล

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จริงที่คู่ความมิได้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมและจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยจำเลยที่ ๑ มีจำเลยที่ ๒ และ พี่ชายจำเลยที่ ๒ เป็น กรรมการร่วมกัน นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ กับนายกิตติยังเป็นกรรมการของบริษัทฯจำเลยที่ ๑ อีกด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ ๒ โจทก์ร่วม ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศพร้อมอุปกรณ์และอะไหล่ยี่ห้อดังชั้นนำยี่ห้อหนึ่ง จำเลยที่ ๑ และบริษัทดังกล่าวเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหรือผู้รับสินค้าเครื่องปรับอากาศพร้อม อุปกรณ์และอะไหล่ของโจทก์ร่วม ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าหรือผู้รับสินค้าเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๒๑ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ร่วมตามสัญญาดังกล่าวโดยไม่จำกัดจำนวน ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๗ และ จ.๘ ต่อมาจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ร่วมระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ เป็นเงิน ๒๒,๕๙๗,๑๙๗,๕๐ บาท ตามใบสรุปยอดค้างชำระ เอกสารหมาย จ.๑๐ โจทก์ร่วมมีหนังสือทวงถามแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ และบริษัทดังกล่าวไม่ชำระ ตามหนังสือแจ้งเตือนให้ชำระหนี้เอกสารหมาย จ.๑๒

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้หรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหรือรับสินค้าของโจทก์ร่วม ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๑ ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหรือผู้รับสินค้าเอกสารหมาย จ.๕ โดยสินค้าที่โจทก์ร่วมส่งไปให้จำเลยที่ ๑ นั้น กรรมสิทธิ์ยังเป็นของโจทก์ร่วมโดยเพียงแต่ส่งมอบการครอบครองเท่านั้น ซึ่งทางปฏิบัติจำเลยที่ ๑ จะต้องมีใบสั่งซื้อสินค้าโจทก์ร่วมจึงจะส่งสินค้าให้ ช่วงปี ๒๕๕๑ ถึงปี ๒๕๕๓ โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ค้าขายกันตามปกติจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ แจ้งโจทก์ร่วมให้เปลี่ยนชื่อผู้สั่งซื้อจากในนามจำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทฯจำเลยที่ ๑ อ้างว่านายกิตติไม่มียอดขาย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถนายน ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อสินค้าไปเป็นเงิน ๒๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ตามใบสรุปยอดค้างชำระเอกสารหมาย จ.๑๐ โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสมชัยฯ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วม นายเรืองพันธ์ ฯ กรรมการผู้จัดการโจทก์ร่วม นายพงศ์วริษฐ์ ฯ ผู้ช่วยผู้จัดการโจทก์ร่วม นายปิยะฯ และนายดนัยนัฐ ฯ พนักงานโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความได้ความว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ มีการสั่งสินค้ามากเกินปกติ นายสมชัย จึงมอบหมายให้นายดนัยนัฐและนายปิยะไปตรวจสอบโดยวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นายดนัยนัฐเดินทางไปที่ร้านของจำเลยที่ ๑ แต่ร้านปิด ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นายสมชัย นายดนัยนัฐ และนายปิยะเดินทางไปที่ร้านของจำเลยที่ ๑ อีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าร้านยังปิด นายปิยะปีนดูร้านของจำเลยที่ ๑ ทางช่องลมพบว่ายังมีเครื่องปรับอากาศของโจทก์ร่วมประมาณ ๑๐ ชุด นายสมชัยจึงรายงานให้นายเรืองพันธ์ทราบและพยานทั้งหมดไปสอบถามนายกิตติพี่ชายจำเลยที่ ๒ ที่ร้านของบริษัทฯจำเลยที่ ๑ และแจ้งว่าจำเลยที่ ๒ สั่งซื้อสินค้าไป ๒๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วไม่ชำระเงิน แต่นายกิตติ ไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๒ ไปอยู่ที่ไหน และนายสมชัยเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถามค้านได้ความว่า โจทก์ร่วมจะทำใบส่งสินค้าให้จำเลยที่ ๑ ในนามของบริษัทฯ จำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ขอให้ใช้ชื่อบริษัทดังกล่าวแทนจำเลยที่ ๑ ตามหลักฐานใบส่งสินค้าของโจทก์ร่วมหลายรายการลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เอกสารหมาย ล.๑ กับใบส่งสินค้าชั่วคราว ใบโอนเงินและใบส่งสินค้าของโจทก์ร่วมตั้งแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ เอกสารหมาย ล.๒ แสดงว่ายังมีการซื้อขายกันมาโดยตลอด และ นายเรืองพันธ์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถามค้านว่า วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ พยานและนายพงศ์วริษฐ์ ไปหาจำเลยที่ ๒ ที่ร้านของจำเลยที่ ๑ ในวันนั้นจำเลยที่ ๑ ยังเปิดร้านตามปกติหลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ก็ยังเปิด ๆ ปิด ๆ ร้านเพราะมีเจ้าหนี้มาหาทุกวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ ถึง ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๕๓ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยังคงค้าขายกับโจทก์ร่วมเรื่อยมา ตามเอกสารหมาย ล.๒ โดยเป็นการซื้อขายเงินสด เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาตรวจดูสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหรือรับซื้อสินค้าเอกสารหมาย จ..๕ แล้ว ได้ความว่า จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องชำระราคาสินค้าแก่โจทก์ร่วมภายใน ๖๐ วัน นับแต่ วันรับสินค้า หากผิดนัดไม่ชำระราคาสินค้าภายในกำหนดต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีนับแต่วันนัด และถือว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ครอบครองสินค้าของโจทก์ร่วมโดยมิชอบด้วยกฎหมายต้องรับผิดชอบความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปรากฏว่ามีเงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์หรือหากชำระเงินไม่เสร็จสิ้น สินค้ายังเป็นของโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมมีสิทธินำสินค้ากลับคืนไปได้ ทั้งจำเลยที่ ๑ จะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่ กำไรหรือขาดทุน ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับโจทก์ร่วม สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหาใช่เป็นเรื่องตัวแทนไม่ แม้ตามสัญญาข้อ ๓ จำเลยที่ ๑ จะต้องนำสินค้าไปจัดจำหน่ายที่ เลขที่ ๖๙/๑๘๓ - ๑๘๔ หมู่ที่ ๑ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และยินยอมให้โจทก์ร่วมหรือตัวแทนของโจทก์ร่วมเข้าไปตรวจดูสภาพสินค้า ที่สั่งซื้อได้ก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติทางการค้าของโจทก์ร่วมและจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ซึ่งโจทก์ร่วม ก็แก้ฎีกายอมรับว่าหากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แจ้งความประสงค์มาในใบส่งสินค้าว่าให้ส่งมอบสินค้าที่อื่นที่มิใช่ที่ทำการของจำเลยที่ ๑ โจทก์ร่วมก็ดำเนินการให้ตามความประสงค์ ดังนั้นเมื่อโจทก์ร่วมได้มอบสินค้าให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว กรรมสิทธิ์ในสินค้าย่อมโอนไปยังจำเลยที่ ๑ ทันที ซึ่งโจทก์ร่วมทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ สั่งซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไปจำหน่ายการที่มีสินค้าอยู่ในร้านของจำเลยที่ ๑ ไม่ครบถ้วนจึงหามีพิรุธไม่ และยังได้ความจากคำเบิกความของนายเรืองพันธ์ตอบทนายโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมปล่อยวงสินเชื่อให้จำเลยที่ ๑ ประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินให้โจทก์ร่วม ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นการชำระหนี้เดือนมกราคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนที่จำหน่ายสินค้าได้เป็นอันดับหนึ่ง การที่จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ดังกล่าวแกโจทก์ร่วมแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ต้องการดำเนินธุรกิจต่อไป ที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เมื่อวันที่ ๒๓ และ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ ปิดกิจการและจำเลยที่ ๒ ขนสินค้าหลบหนีไปนั้นข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายสมชัยและนายเรืองพันธ์ตอบทนายความจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถามค้านว่าหลังวันดังกล่าวจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยังคงติดต่อชื้อขายกับโจทก์ร่วมเรื่อยมาจนถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ตามเอกสารหมาย ล.๑ และ ล.๒ ตามพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่า เหตุที่จำเลยที่ ๑ ไม่อาจดำเนินธุรกิจการค้าต่อไปได้นั้นสืบเนื่องมาจากโจทก์ร่วมไม่ปล่อยวงสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ต้องซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมด้วยเงินสดทำให้เกิดขัดข้องในการใช้เงินหมุนเวียนประสบปัญหาในการประกอบธุรกิจ และทำให้บริษัทอื่น ๆ ที่จำเลยที่ ๑ ติดต่อค้าขายไม่ให้เครดิตไปด้วย ประกอบกับทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ นำสินค้าที่ซื้อมาจากโจทก์ร่วมไปซ่อนที่แห่งใดหรือโอนไปให้บุคคลอื่นโดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาสอุทธรณ์

ประเด็นสำคัญของคดี

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า:

  • สัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าแล้วเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหาใช่เป็นเรื่องตัวแทนไม่
  • จำเลยไม่ได้มีเจตนาโกงเจ้าหนี้ เพราะไม่มีหลักฐานว่าจำเลยนำสินค้าไปซ่อนหรือโอนให้บุคคลอื่น
  • การดำเนินธุรกิจของจำเลยหยุดชะงักเนื่องจากโจทก์ไม่ปล่อยวงเงินสินเชื่อให้จำเลย
  • พฤติการณ์ของจำเลยไม่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350

บทเรียนจากคำพิพากษา

1. การพิสูจน์เจตนาเป็นหัวใจสำคัญ: แม้จะมีการย้ายทรัพย์สิน หากไม่พบเจตนาโกงเจ้าหนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด

2. ความโปร่งใสในการทำธุรกิจ: การรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการปฏิบัติตามสัญญาเป็นสิ่งสำคัญ

3. ความสำคัญของการเก็บหลักฐาน: การรวบรวมพยานหลักฐานที่ชัดเจนมีผลต่อการพิจารณาคดีอย่างมาก

สรุปข้อเท็จจริงสำคัญ

    ประเด็นข้อโต้แย้ง :
  • การโอนกรรมสิทธิ์ของสินค้า
  • สิทธิในการเรียกร้องหนี้และการยืนยันว่าเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริง
  • เจตนาของจำเลยในการดำเนินธุรกิจ

Scroll to Top