
กู้ยืม
การกู้ยืมเงินเป็นการทำสัญญาทางการเงินระหว่างผู้กู้ยืม (Borrower) และผู้ให้กู้ (Lender) โดยผู้กู้ยืมจะต้องคืนเงินที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
การกู้ยืมเงินสามารถทำได้ทั้งในภาคส่วนของธนาคาร บริษัทการเงิน หรือบุคคลทั่วไป
การกู้ยืมเงิน
ความหมายของการกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินเป็นการทำสัญญาทางการเงินระหว่างผู้กู้ยืม (Borrower) และผู้ให้กู้ (Lender) โดยผู้กู้ยืมจะต้องคืนเงินที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน การกู้ยืมเงินสามารถทำได้ทั้งในภาคส่วนของธนาคาร บริษัทการเงิน หรือบุคคลทั่วไป
ประเภทของการกู้ยืมเงิน
สินเชื่อบุคคล (Personal Loan):
เป็นการกู้ยืมเงินสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเงินสดเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต เช่น การจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล การซื้อของใช้ หรือการท่องเที่ยว
สินเชื่อบุคคลมักมีดอกเบี้ยสูงและระยะเวลาการชำระหนี้ที่สั้น
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ (Business Loan):
เป็นการกู้ยืมเงินสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายกิจการ ซื้อวัตถุดิบ หรือการลงทุนในโครงการใหม่
สินเชื่อเพื่อธุรกิจมักมีวงเงินสูงและระยะเวลาการชำระหนี้ที่ยาวนานกว่า
สินเชื่อเพื่อการศึกษา (Student Loan):
เป็นการกู้ยืมเงินสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่ต้องการเงินทุนเพื่อจ่ายค่าเรียน ค่าหนังสือ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
สินเชื่อเพื่อการศึกษามักมีดอกเบี้ยต่ำและระยะเวลาการชำระหนี้ที่ยาวนาน
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Loan):
เป็นการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัย โดยบ้านหรือที่อยู่อาศัยจะเป็นหลักประกันในการกู้ยืม
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมักมีดอกเบี้ยต่ำและระยะเวลาการชำระหนี้ที่ยาวนาน
ขั้นตอนในการกู้ยืมเงิน
การตรวจสอบสถานะการเงิน:
ผู้กู้ยืมควรตรวจสอบสถานะการเงินของตนเองว่ามีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่
การประเมินรายได้ หนี้สิน และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
การเลือกประเภทสินเชื่อ:
เลือกประเภทสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการ เช่น สินเชื่อบุคคล สินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อเพื่อการศึกษา
การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของแต่ละสินเชื่อ
การยื่นคำขอกู้ยืม:
ยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อธนาคารหรือผู้ให้กู้ พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น สลิปเงินเดือน เอกสารแสดงรายได้ และเอกสารส่วนบุคคล
การตรวจสอบและอนุมัติคำขอกู้ยืม
การทำสัญญากู้ยืม:
เมื่อคำขอกู้ยืมได้รับการอนุมัติ จะต้องทำสัญญากู้ยืมกับธนาคารหรือผู้ให้กู้
การระบุเงื่อนไขการชำระหนี้ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญา
การรับเงินกู้ยืม:
ผู้กู้ยืมจะได้รับเงินกู้ยืมตามจำนวนที่ตกลงกันในสัญญา
การนำเงินกู้ยืมไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
การชำระหนี้:
ผู้กู้ยืมจะต้องชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่ตกลงในสัญญา เช่น การชำระเป็นรายเดือนหรือรายปี
การชำระดอกเบี้ยและเงินต้นตามระยะเวลาที่กำหนด
ข้อควรระวังในการกู้ยืมเงิน
การอ่านและเข้าใจสัญญา: ผู้กู้ยืมควรอ่านและเข้าใจเงื่อนไขในสัญญากู้ยืมอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การจัดการหนี้สิน: ผู้กู้ยืมควรวางแผนการจัดการหนี้สินให้ดี เพื่อให้สามารถชำระหนี้ตามกำหนดและป้องกันการเกิดหนี้สินที่มากเกินไป
การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย: การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของสินเชื่อจากผู้ให้กู้ต่างๆ เพื่อเลือกสินเชื่อที่มีเงื่อนไขที่ดีที่สุด
กฎหมายที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินในประเทศไทยมีหลายฉบับที่กำหนดเงื่อนไขและข้อบังคับเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและการทวงถามหนี้อย่างชัดเจน เช่น:
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
มาตรา 653 : การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป ต้องทำเป็นหนังสือ และผู้กู้ลงลายมือชื่อ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
มาตรา 654: ถ้ากำหนดดอกเบี้ยไว้ในสัญญา อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันไม่เกิน 15% ต่อปี)
2. กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
ตาม พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558:
ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา
การทวงถามหนี้ต้องไม่ละเมิดสิทธิ ไม่ใช้ความรุนแรง หรือทำให้เกิดความอับอาย
3. พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558
กำหนดวิธีการและข้อห้ามในการทวงถามหนี้ เช่น:
ห้ามข่มขู่ ใช้ถ้อยคำรุนแรง หรือเผยแพร่ข้อมูลหนี้ให้ผู้อื่นทราบ
ทวงถามหนี้ได้เฉพาะเวลา 8.00 – 20.00 น. (วันจันทร์-ศุกร์) และ 8.00 – 18.00 น. (วันหยุด)
ติดต่อได้เฉพาะผู้กู้หรือบุคคลที่ผู้กู้ระบุเท่านั้น
4. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527
ห้ามบุคคลหรือองค์กรที่ไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกู้ยืมเงินจากประชาชน
หากกู้ยืมเงินโดยมีลักษณะหลอกลวง หรือเสนอผลตอบแทนเกินจริง อาจถูกดำเนินคดีในฐานะฉ้อโกงประชาชน
ข้อควรระวังในการกู้ยืมเงิน:
ควรทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและเก็บหลักฐานการชำระหนี้
หลีกเลี่ยงการกู้ยืมจากผู้ปล่อยกู้นอกระบบที่มักเรียกดอกเบี้ยเกินกฎหมาย
หากถูกทวงถามหนี้โดยผิดกฎหมาย สามารถร้องเรียนต่อ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนการดำเนินคดี
กระบวนพิจารณาคดีในศาล จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก จึงต้องมีการกำหนดวิธีปฏิบัติตามวันนัดพิจารณาคดีแต่ละนัดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
1. ยื่น คำร้อง/คำคัดค้าน
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่กล่าวในฟ้องมีพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อได้ ผู้ร้องเรียกร้องอะไรผู้คัดค้านคัดค้านอะไร
2. นัดไกล่เกลี่ย
เมื่อเข้าห้องไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงกันได้ก็จะมีการถอนฟ้องหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หากตกลงกันไม่ได้ สำนวนคดีก็จะถูกส่งกลับมาที่ห้องพิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
3. นัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้อง ผู้คัดค้านนำพยานสืบพยาน
4. นัดฟังคำพิพากษา ศาลจะอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง ศาลจะวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งปวงในคดี ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายไหนมีเหตุผลน่าเชื่อกว่าก็ตัดสินให้ฝ่ายนั้นชนะ
ค่าบริการในการว่าความในศาลชั้นต้น
1. คดีแพ่ง
คดีไม่มีข้อพิพาทหรือคดีไม่มีทุนทรัพย์
เป็นคดีที่มีการร้องขอฝ่ายเดียว เพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย เช่น คดีร้องจัดการมรดก, คดีร้องขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ หรือบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น ค่าว่าความคิดขั้นต่ำคดีละ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)
หมายเหตุ กรณีมีการคัดค้านหรือมีการต่อสู้คดี ก็จะมีการตกลงกันอีกครั้ง
คดีมีข้อพิพาท หรือคดีมีทุนทรัพย์
กรณีที่ท่านเป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วม ท่านต้องชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีดังต่อไปนี้
คดีทุนทรัพย์ (บาท) | ค่าทนายความ (บาท) | ค่าวิชาชีพ(บาท) | ค่าบังคับคดี (ร้อยละ) |
ไม่เกิน 50,000 | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 30 |
50,001 ถึง 100,000 | 15,000 | 10,000 | 30 |
100,001 ถึง 300,000 | 30,000 | 12,000 | 30 |
300,001 ถึง 500,000 | 35,000 | 14,000 | 30 |
500,001 ถึง 800,000 | 40,000 | 15,000 | 20 |
800,001 ถึง 1,000,000 | 45,000 | 17,000 | 20 |
1,000,001 ถึง 2,000,000 | 50,000 | 18,000 | 10 |
2,000,001 ถึง 3,000,000 | 60,000 | 19,000 | 10 |
3,000,001 บาทขึ้นไป | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี | 10 |
เงื่อนไขการดำเนินงาน
1. ท่านต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม(ค่าขึ้นศาล)และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำส่งคำ คู่ความเองเป็นค่าธรรมเนียมตามปกติของศาล
(ตามใบเสร็จรับเงิน) ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
คดีมโนสาเร่ ทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 300,000 บาท เสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 1,000 บาท
คดีมีแพ่งสามัญ ทุน ทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท
ขึ้นไป เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 0.1 บาท
ค่านำหมาย,ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ (ถ้ามี),ค่าพาหนะของพยานหมาย (ถ้ามี)เป็นต้น
2. ท่านต้องชำระค่าทนายความตามทุนทรัพย์ก่อนที่จะทำคำฟ้องยื่นต่อศาล
3. ค่าบังคับคดี บริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อมีการบังคับคดี หากไม่มีการบังคับคดีท่านไม่ต้องจ่ายค่าบังคับคดี
4. ค่าว่าความ (อัตราร้อยละ) ทางบริษัทฯ คิดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง (ตามฟ้อง) และบริษัทฯ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อ
ท่านได้รับเงินจากลูกหนี้หรือจำเลยแล้ว(ตามเกณฑ์เงินสดที่ท่านได้รับ)
5. กรณีทนายความไปศาลต่างจังหวัด บริษัทฯ จะเรียกเก็บอัตราค่าเดินทางไปศาลในแต่ละครั้ง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 4,500 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 6,500 บาท
***สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ท่านไม่ต้องชำระค่าเดินทางในส่วนนี้
หมายเหตุ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าที่พัก,ค่าตั๋วรถเดินทาง,ค่าน้ำมันรถยนต์,ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ทางราชการ หรือเอกชน
ออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
6. คดีนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะตกลงกันตามความยากง่ายของการดำเนินคดี
7. การว่าจ้างมีการทำสัญญาว่าจ้างว่าความทุกครั้ง เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจในการจ้างทนายความ
กรณีที่ท่านเป็นจำเลยหรือจำเลยร่วมในคดีแพ่ง
ในคดีที่มีการร้องสอดหรือร้องคัดค้านให้เป็นคดีมีข้อพิพาท คิดค่าว่าความ จำนวน 15,000 บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
คดีที่ท่านถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง
ก.) คดีที่มีข้อพิพาทจากมูลละเมิด คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ข.) คดีที่มีข้อพิพาทจากนิติกรรมสัญญา คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ต่างจังหวัด ท่านต้องชำระค่าเดินทาง ตามอัตราดังต่อไปนี้
ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 2,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,000 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 4,000 บาท
หมายเหตุ
กรณีพิจารณาคดีออนไลน์ไม่มีค่าพาหนะ
ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ทางราชการหรือเอกชนออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
หรือ ในราคาตกลงกัน แล้วแต่กรณี