โกงเจ้าหนี้

โกงเจ้าหนี้

 
การโกงเจ้าหนี้เป็นการกระทำที่บุคคลพยายามหลบเลี่ยงหรือไม่ปฏิบัติตามภาระหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ โดยใช้วิธีการที่เป็นการหลอกลวง หรือการปกปิดข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของตนเอง การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิด

โกงเจ้าหนี้

การโกงเจ้าหนี้เป็นการกระทำที่บุคคลพยายามหลบเลี่ยงหรือไม่ปฏิบัติตามภาระหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ โดยใช้วิธีการที่เป็นการหลอกลวง หรือการปกปิดข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของตนเอง การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีความผิดทางอาญา โดยมีบทบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 349 และ 350 การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ โดยอาจใช้วิธีการต่างๆ เช่น

  • ย้ายหรือซ่อนเร้นทรัพย์: นำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปซ่อน หรือโอนให้ผู้อื่นเพื่อมิให้เจ้าหนี้สามารถยึดเอาทรัพย์สินไปขายทอดตลาดชำระหนี้ได้
  • โอนทรัพย์: โอนทรัพย์สินให้ผู้อื่น โดยอาจเป็นการโอนให้โดยเปล่า หรือโอนให้ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อลดมูลค่าทรัพย์สินที่เจ้าหนี้จะสามารถยึดได้
  • แกล้งเป็นหนี้: สร้างหนี้ปลอมขึ้นมา หรือเพิ่มจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริง เพื่อให้ดูเหมือนว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น

 

ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

  1. โกงเจ้าหนี้จำนำ (มาตรา 349): เกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ที่นำทรัพย์สินไปจำนำกับเจ้าหนี้ ได้กระทำการใดๆ ที่ทำให้ทรัพย์สินนั้นเสียหาย เสื่อมค่า หรือไร้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำ
  2. โกงเจ้าหนี้ (มาตรา 350): เกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ โดยใช้วิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

โทษของการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

ผู้ที่กระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้อาจต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เหตุผลที่ต้องระวังการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

  • ความเสียหายต่อเจ้าหนี้: การกระทำดังกล่าวทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้ตามสิทธิ
  • ความผิดทางอาญา: ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย
  • ผลกระทบต่อชื่อเสียง: การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและเครดิตของผู้กระทำผิด

วิธีป้องกันการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

  • ชำระหนี้ตามสัญญา: ปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้
  • เจรจาไกล่เกลี่ย: หากมีปัญหาในการชำระหนี้ ควรเจรจาไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีความไม่เข้าใจในเรื่องกฎหมาย หรือต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมาย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนายความ

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาเรื่องราวทางกฎหมาย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • เก็บหลักฐาน: หากคุณเป็นเจ้าหนี้ ควรเก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อใช้ในการดำเนินคดี
  • แจ้งความ: หากคุณเชื่อว่าถูกโกง ควรแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ขั้นตอนการดำเนินคดี 

การดำเนินคดี ในประเทศไทยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้การพิจารณาคดีมีความยุติธรรมและโปร่งใส

ขั้นตอนการดำเนินคดี 

  1. การแจ้งความ:

    • เมื่อเกิดการทำให้เสียหายหรือไร้ประโยชน์ รือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของผู้เสียหายสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด

    • ผู้แจ้งความต้องระบุรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น วันเวลา สถานที่ และลักษณะของการกระทำผิด

  2. การรับแจ้งความ:

    • เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับแจ้งความและบันทึกข้อมูลในบันทึกประจำวัน

    • เจ้าหน้าที่จะสอบปากคำผู้แจ้งความเพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

  3. การสืบสวนสอบสวน:

    • เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเริ่มต้นการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน

    • การสืบสวนอาจรวมถึงการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ การสอบปากคำพยาน และการเก็บรวบรวมหลักฐานทางกายภาพ

  4. การจับกุมผู้ต้องสงสัย:

    • หากพบว่ามีมูลความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายจับและทำการจับกุมผู้ต้องสงสัย

    • ผู้ต้องสงสัยจะถูกนำตัวสอบสวนเพิ่มเติมและฝากขังในสถานที่ที่เจ้าหน้าที่กำหนด

  5. การส่งสำนวนการสืบสวนให้พนักงานอัยการ:

    • เมื่อการสืบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจัดทำสำนวนการสืบสวนที่รวมถึงพยานหลักฐานทั้งหมดและรายงานการสอบสวน

    • สำนวนการสืบสวนจะถูกส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อตรวจสอบและพิจารณาการฟ้องร้อง

  6. การพิจารณาคดีในศาล:

    • พนักงานอัยการจะนำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล

    • ศาลจะพิจารณาหลักฐานและพยานที่เกี่ยวข้อง และตัดสินว่าผู้ต้องหามีความผิดหรือไม่

  7. การตัดสินและการลงโทษ:

    • หากศาลพิจารณาว่าผู้ต้องหามีความผิด ศาลจะตัดสินและกำหนดโทษตามกฎหมาย

    • โทษสำหรับการบุกรุกอาจรวมถึงการจำคุก การปรับ หรือการชดเชยความเสียหาย

  8. การยื่นอุทธรณ์:

    • หากฝ่ายใดไม่พอใจกับคำตัดสินของศาล สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้

    • หากยังไม่พอใจกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ สามารถยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาได้

สิทธิของผู้ต้องสงสัย:

  • ผู้ต้องสงสัยมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

  • ผู้ต้องสงสัยมีสิทธิ์ที่จะมีทนายความในการป้องกันตนเองและสามารถนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อป้องกันตนเองได้

การต่อสู้คดีในชั้นศาล

การต่อสู้คดีบเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในกฎหมายและหลักฐานอย่างละเอียด ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้

1. การได้รับแจ้งข้อกล่าวหา:

  • หมายเรียก: จำเลยจะได้รับหมายเรียกจากศาลให้ไปฟังคำสั่งหรือเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี
  • อ่านคำฟ้อง: ศาลจะอ่านคำฟ้องที่โจทก์ยื่น ซึ่งจะระบุข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด

2. การให้การเบื้องต้น:

  • ปฏิเสธข้อกล่าวหา: จำเลยมีสิทธิที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดหรือบางส่วน
  • ยื่นคำให้การ: จำเลยสามารถยื่นคำให้การเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ตนไม่กระทำความผิด

    3. การสืบพยาน:

    • สืบพยานโจทก์: โจทก์จะนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
    • สืบพยานจำเลย: จำเลยจะนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน

      . การแถลงปิดคดี:

      • ทนายความทั้งสองฝ่าย: ทนายความของทั้งสองฝ่ายจะทำการแถลงปิดคดีโดยสรุปพยานหลักฐานและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

      5. คำพิพากษา:

      • ศาลพิจารณา: ศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอมา
      • ออกคำพิพากษา: ศาลจะออกคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่มีความผิด และมีโทษอย่างไร

      ในการต่อสู้คดี

      • รวบรวมพยานหลักฐาน: จำเลยควรเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกอย่างที่สามารถนำมาใช้ในการต่อสู้คดี เช่น พยานบุคคลเอกสาร ภาพถ่าย วิดีโอ ฯลฯ
      • ปรึกษาทนายความ: การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีอาญาจะช่วยให้จำเลยเข้าใจกระบวนการทางกฎหมายและวางแผนการต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • เตรียมพร้อมในการสืบพยาน: จำเลยควรเตรียมตัวให้พร้อมในการตอบคำถามของทนายความฝ่ายโจทก์และศาล
      • ยื่นอุทธรณ์: หากไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์
 
สำหรับแนวทางการต่อสู้คดี มีดังนี้

1.ไม่ใช่ผู้เสียหาย 2.ไม่ได้ระบุชื่อ 3.ไม่ใช่การใส่ความ 4.ถ้อยคำไม่ได้ทำให้เสียหาย 5.ไม่มีเจตนา

6.คดีขาดอายุความแล้ว /ตกลงยอมความกันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 326 หรือ 393 อายุความ 3 เดือนเพราะเป็นคดีความผิดยอมความได้

ดังนั้นอายุความ 3 เดือนนับแต่วันที่กระทำผิดสำเร็จหากเกินกว่า 3 เดือนแล้วไปฟ้องคดีก็ขาดอายุความ ฎ.2269/2538
7.สู้ประเด็นเรื่องมีการตกลงกันแล้ว
เช่นบุกรุกแล้วต่อมามีการทำข้อตกลงว่าไม่ติดใจเอาความกันทำบันทึกประจำวันหรือทำหลักฐานไว้เป็นหนังสือ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป 

ตัวอย่างคดีที่ศาลยกฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2559

การเปิดบ่อนที่มีเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย มิใช่เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ประชาชนโดยทั่วไปประสงค์จะทราบเท่านั้น เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า การพนันเป็นการมอมเมาประชาชนให้หลงในอบายมุข ก่อให้เกิดการกระทำความผิดอื่นตามมาเป็นลูกโซ่ มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลปราบปรามอาชญากรรมกลับมากระทำความผิดเสียเอง นอกจากจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาต่อวงการราชการตำรวจแล้ว ยังมีผลกระทบต่อการปราบปรามอาชญากรรมอีกด้วย ที่จำเลยทั้งสองสัมภาษณ์ พล.ต.อ. ส. ประธานสอบข้อเท็จจริงกรณีบ่อนรัชดาซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ก็เพื่อทำให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องปรากฏ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์มาก่อน เชื่อว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปโดยสุจริต เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ แม้จะมีข้อความหมิ่นประมาท การกระทำนั้นย่อมไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 329 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11118/2558

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20106/2556

จำเลยเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด โจทก์เคยเป็นประธานทอดกฐิน โจทก์ จำเลย บุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดและกรรมการของวัดขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่องการเงินของวัดแยกออกเป็นหลายฝ่าย และกล่าวหาอีกฝ่ายยักยอกเงินของวัดจนมีการฟ้องคดีต่อศาล โจทก์เขียนข้อความกล่าวหาจำเลยว่าเคยบวชพระและมีประวัติเป็นอลัชชียักยอกเงินของวัด ไม่มีความละอายต่อบาป และเขียนป้ายประกาศติดไว้ที่หน้าวัดห้ามจำเลยเข้าบริเวณวัดและจำเลยยักยอกเงินของวัด ซึ่งเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยเป็นคนโกง เป็นคนไม่ดี การที่จำเลยเขียนหนังสือ และแจกจ่ายหนังสือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดเป็นทำนองตอบโต้โจทก์ เนื่องจากจำเลยเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด และได้รับผลกระทบทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง การแสดงข้อความของจำเลยเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมที่จะป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13622/2555

สรุป
สรุปแล้วในประเด็นข้อต่อสู้ในคดี ให้เอาไปปรับใช้ตามข้อเท็จให้หมาะสมกับรูปคดี นอกจากนี้ในแต่ละคดีก็อาจจะมีประเด็นข้อต่อสู้อย่างอื่นที่สามารถหยิบยกมาได้แล้วแต่ประเด็นแล้วแต่รูปคดีอีก

ค่าบริการในการว่าความในศาลชั้นต้น

1. คดีอาญา

ค่าจ้างทนายอาญา กรณีเป็นโจทก์และยื่นฟ้องตรงต่อศาล
1.ค่าทนายอาญา 60,000 บาท ขึ้นไป

ค่าจ้างทนายอาญา กรณีเป็นโจทก์และแจ้งความดำเนินคดี ต่อพนักงานสอบสวน
1. ค่าทนายอาญา 60,000 บาทขึ้นไป
2. ทนายดูแล เฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน 25,000 บาทขึ้นไป

ค่าทนายอาญากรณีเป็นจำเลย
1. ค่าดำเนินดูแลคดี 50,000 บาทขึ้นไป
2. ทนายประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน 25,000 บาทขึ้นไป

ทนายชั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
1.ค่าทนาย ในชั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา 50,000 บาทขึ้นไป

1. คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

คดีไม่มีข้อพิพาทหรือคดีไม่มีทุนทรัพย์

เป็นคดีที่มีการร้องขอฝ่ายเดียว เพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย เช่น คดีร้องจัดการมรดก, คดีร้องขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ หรือบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น ค่าว่าความคิดขั้นต่ำคดีละ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)

หมายเหตุ กรณีมีการคัดค้านหรือมีการต่อสู้คดี ก็จะมีการตกลงกันอีกครั้ง

คดีมีข้อพิพาท หรือคดีมีทุนทรัพย์

กรณีที่ท่านเป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วม ท่านต้องชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีดังต่อไปนี้

คดีทุนทรัพย์ (บาท)ค่าทนายความ (บาท)ค่าวิชาชีพ(บาท)ค่าบังคับคดี   (ร้อยละ)
ไม่เกิน 50,000ขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณีขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี30
50,001 ถึง 100,00015,00010,00030
100,001 ถึง 300,00030,00012,00030
300,001 ถึง 500,00035,00014,00030
500,001 ถึง 800,00040,00015,00020
800,001 ถึง 1,000,00045,00017,00020
1,000,001 ถึง 2,000,00050,00018,00010

2,000,001 ถึง 3,000,000

60,00019,00010
3,000,001 บาทขึ้นไปขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณีขึ้นกับข้อตกลงเป็นกรณี10

เงื่อนไขการดำเนินงาน
1. ท่านต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม(ค่าขึ้นศาล)และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำส่งคำ คู่ความเองเป็นค่าธรรมเนียมตามปกติของศาล

(ตามใบเสร็จรับเงิน) ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

คดีมโนสาเร่ ทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 300,000 บาท เสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 1,000 บาท
คดีมีแพ่งสามัญ ทุน ทรัพย์ที่ฟ้อง ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท
ขึ้นไป เสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 0.1 บาท
ค่านำหมาย,ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ (ถ้ามี),ค่าพาหนะของพยานหมาย (ถ้ามี)เป็นต้น
2. ท่านต้องชำระค่าทนายความตามทุนทรัพย์ก่อนที่จะทำคำฟ้องยื่นต่อศาล
3. ค่าบังคับคดี  จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อมีการบังคับคดี หากไม่มีการบังคับคดีท่านไม่ต้องจ่ายค่าบังคับคดี
4. ค่าว่าความ (อัตราร้อยละ)  คิดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง (ตามฟ้อง) และ จะเรียกเก็บจากท่านต่อเมื่อ

ท่านได้รับเงินจากลูกหนี้หรือจำเลยแล้ว(ตามเกณฑ์เงินสดที่ท่านได้รับ)
5. กรณีทนายความไปศาลต่างจังหวัด บริษัทฯ จะเรียกเก็บอัตราค่าเดินทางไปศาลในแต่ละครั้ง ตามอัตราดังต่อไปนี้

ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 4,500 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 6,500 บาท
***สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ท่านไม่ต้องชำระค่าเดินทางในส่วนนี้
หมายเหตุ

ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าที่พัก,ค่าตั๋วรถเดินทาง,ค่าน้ำมันรถยนต์,ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ทางราชการ หรือเอกชน

ออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)
6. คดีนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะตกลงกันตามความยากง่ายของการดำเนินคดี
7. การว่าจ้างมีการทำสัญญาว่าจ้างว่าความทุกครั้ง เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจในการจ้างทนายความ

กรณีที่ท่านเป็นจำเลยหรือจำเลยร่วมในคดีแพ่ง
ในคดีที่มีการร้องสอดหรือร้องคัดค้านให้เป็นคดีมีข้อพิพาท คิดค่าว่าความ จำนวน 15,000 บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

คดีที่ท่านถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง
ก.) คดีที่มีข้อพิพาทจากมูลละเมิด คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป
ข.) คดีที่มีข้อพิพาทจากนิติกรรมสัญญา คิดค่าว่าความขั้นต่ำ ตั้งแต่ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ขึ้นไป

ต่างจังหวัด ท่านต้องชำระค่าเดินทาง ตามอัตราดังต่อไปนี้

ระยะทาง ไม่เกิน 300 กม. คิดค่าเดินทาง = 2,500 บาท
ระยะทาง 300 – 500 กม. คิดค่าเดินทาง = 3,000 บาท
ระยะทาง 500 กม. ขึ้นไป คิดค่าเดินทาง = 4,000 บาท

หมายเหตุ

กรณีพิจารณาคดีออนไลน์ไม่มีค่าพาหนะ

ค่าเดินทางดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ทางราชการหรือเอกชนออกให้ (ตามใบเสร็จรับเงิน)

หรือ ในราคาตกลงกัน แล้วแต่กรณี

Scroll to Top